CFD เป็นตราสารที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียเงินอย่างรวดเร็วเนื่องจากมีเลเวอเรจ 80% ของบัญชีนักลงทุนรายย่อยสูญเสียเงินเมื่อทำการซื้อขาย CFD กับผู้ให้บริการรายนี้ คุณควรพิจารณาว่าคุณเข้าใจวิธีการทำงานของ CFD หรือไม่ และคุณสามารถรับความเสี่ยงสูงที่อาจจะสูญเสียเงินของคุณได้หรือไม่
.jpg)
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำอ่อนตัวลงท่ามกลางภาวะการซื้อขายที่ผันผวน โดยความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ–จีนที่เริ่มคลี่คลาย การยกเลิกการหัก VAT สำหรับการขายทองคำในจีน และความเห็นที่แตกต่างกันภายในเฟดเกี่ยวกับแนวโน้มดอกเบี้ย ล้วนเป็นปัจจัยที่ฉุดโมเมนตัมขาขึ้นในระยะสั้น
สำหรับสัปดาห์นี้ นักลงทุนหันไปให้ความสนใจกับดัชนี ISM ภาคบริการของสหรัฐฯ และรายงานตลาดแรงงาน “ไม่เป็นทางการ” หลายฉบับ ซึ่งอาจสร้างความผันผวนใหม่ให้กับราคาทองคำ
บนกราฟรายวัน XAUUSD ยังคงปรับฐานต่อเนื่อง โดยในวันอังคารราคาหลุดลงไปแตะ $3,886 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม แม้ว่าการเข้าซื้อทางเทคนิคและความต้องการลงทุนระยะยาวจะช่วยให้ราคาฟื้นตัวกลับขึ้นมาที่ราว $3,900 และปิดบวก 2.4% ในวันพฤหัสบดี พร้อมกลับมายืนเหนือระดับ $4,000 ได้อีกครั้ง แต่ราคายังปิดสัปดาห์ด้วยการปรับตัวลงโดยรวม สะท้อนว่าแรงกดดันฝั่งขาลงยังคงอยู่ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มขาขึ้นในภาพรวมยังคงแข็งแกร่ง โดยเดือนตุลาคมถือเป็นเดือนที่สามติดต่อกันที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้น รวมแล้วเพิ่มขึ้น 3.7%

ในช่วงต้นสัปดาห์ ราคาทองคำยังคงทดสอบระดับ $4,000 หากสามารถปิดรายวันเหนือระดับนี้ได้อย่างมั่นคง อาจเปิดทางไปสู่แนวต้านถัดไปที่ $4,050 และเส้นแนวโน้มขาขึ้นจากปลายเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นโซนสำคัญในการยืนยันโมเมนตัมขาขึ้นรอบใหม่
ในทางกลับกัน หากแรงซื้อไม่สามารถรักษาการเบรกขึ้นได้ และแรงขายยังคงกดดันต่อเนื่อง ตลาดจะหันไปจับตาแนวรับบริเวณ $3,880–$3,900 โดยหากหลุดลงไปอย่างชัดเจน เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันจะกลายเป็นแนวรับสำคัญถัดไป
การปรับฐานล่าสุดของราคาทองคำเกิดจากสามปัจจัยลบหลักในระยะสั้น ได้แก่ ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่ลดลง การปรับโครงสร้างภาษีของจีนที่เพิ่มต้นทุนการซื้อทอง และการปรับความคาดหวังเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ยของเฟด
ประการแรก ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ–จีนที่ลดลงส่งผลให้ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง โดยการพบกันล่าสุดของผู้นำทั้งสองประเทศแสดงให้เห็นถึงท่าทีที่เน้นความร่วมมือมากขึ้น เช่น จีนกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ และยกเลิกข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก ขณะที่สหรัฐฯ ลดภาษีสินค้าจีนลง ซึ่งช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า ขณะเดียวกัน ความคืบหน้าในการเจรจาหยุดยิงในยูเครน และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ก็ช่วยดึงเงินทุนกลับเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
ประการที่สอง กระทรวงการคลังของจีนได้ยกเลิกการหัก VAT สำหรับการซื้อทองคำตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นแรงขาย โดยก่อนหน้านี้ ผู้ค้าสามารถหัก VAT สำหรับทองคำที่ซื้อจาก Shanghai Gold Exchange ได้ ไม่ว่าจะขายตรงหรือหลังจากแปรรูป
เมื่อการปรับโครงสร้างภาษีครอบคลุมทั้งสินค้าลงทุนและไม่ใช่สินค้าลงทุน ผู้บริโภคจีนจึงต้องเผชิญกับต้นทุนทองคำที่สูงขึ้นทันที ซึ่งส่งผลกระทบต่อความต้องการทั่วโลก เนื่องจากจีนเป็นหนึ่งในผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก
ประการที่สาม ท่าทีของเฟดเริ่มแข็งกร้าวมากขึ้น โดยหลังจากที่ประธานเฟด Jerome Powell ระบุว่าการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม “ยังไม่แน่นอน” ก็มีเจ้าหน้าที่หลายคนออกมาแสดงความเห็นคัดค้านการผ่อนคลายเร็วเกินไป ส่งผลให้ความคาดหวังของตลาดต่อการลดดอกเบี้ยในระยะสั้นลดลงอย่างรวดเร็ว ดันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไปใกล้ระดับ 100 และกดดันราคาทองคำซึ่งมีการซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์
นอกจากนี้ ความขัดแย้งเรื่องงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังส่งผลให้การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญล่าช้า เพิ่มความไม่แน่นอนและความผันผวนในตลาด
อย่างไรก็ตาม ในระยะกลางถึงระยะยาว แนวโน้มขาขึ้นเชิงโครงสร้างของทองคำยังคงแข็งแกร่ง โดยธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำสุทธิรวม 902 ตันในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2025 สะท้อนแนวโน้ม “ลดการพึ่งพาดอลลาร์” อย่างต่อเนื่อง ขณะที่หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ทะลุ $38 ล้านล้าน และความเสี่ยงด้าน stagflation ยังอยู่ ทำให้บทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงยังคงสำคัญ ข้อมูลจากกองทุนก็สะท้อนภาพเดียวกัน โดย ETF ที่มีทองคำเป็นสินทรัพย์หนุนหลังมีเงินไหลเข้าสุทธิ $26 พันล้านในไตรมาส 3 ดันมูลค่ารวมของสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ $472 พันล้าน แสดงถึงความเชื่อมั่นของสถาบันที่ยังแข็งแกร่ง
โดยรวมแล้ว ราคาทองคำยังคงเผชิญแรงกดดันจากการฟื้นตัวของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน การปรับโครงสร้างภาษีของจีน และสัญญาณแข็งกร้าวจากเฟด อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องหลายสัปดาห์พร้อมกับเงินทุนไหลเข้าอย่างมีนัยสำคัญ การปรับฐานล่าสุดจึงดูเหมือนเป็นการปรับสมดุลตามธรรมชาติ มากกว่าจะเป็นการเทขายแบบตื่นตระหนก
ในระยะสั้น ราคาทองคำอาจเคลื่อนไหวในกรอบ $3,900–$4,100 ขณะที่ตลาดรอปัจจัยกระตุ้นใหม่จากเศรษฐกิจมหภาค
สำหรับสัปดาห์นี้ นักลงทุนจะจับตาดัชนี ISM ภาคบริการของสหรัฐฯ ข้อมูลการเปิดรับสมัครงาน JOLTS เดือนกันยายน และข้อมูลการจ้างงานจาก ADP โดยตลาดคาดว่า PMI ภาคบริการเดือนตุลาคมจะยังอยู่ในโซนขยายตัว สูงกว่าระดับเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย ขณะที่จำนวนตำแหน่งงานว่างอาจลดลงเล็กน้อย และข้อมูล ADP คาดว่าจะพลิกกลับมาเป็นบวก
หากข้อมูลการจ้างงานออกมาดีกว่าคาด แสดงถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน ก็อาจหนุนท่าทีแข็งกร้าวของเฟด และกดดันราคาทองคำในระยะสั้นเพิ่มเติม